เยส ป 4
0และศักยภาพความสามารถของแพลทฟอร์มไทยมีงานทำ มารวมตัวกันเพื่อจับคู่ "งาน กับ คน" กิจกรรมบันเทิง อาทิ มินิคอนเสิร์ตจาก เบิ้ล ปทุมราช (26 ก. ย. ) Musketeers (27 ก. ) และ GUNGUN (28 ก. ) และโซนรวมร้านอาหาร Food truck ชื่อดังทั่วไทย มาให้ผู้เข้าชมงานได้เลือกซื้อเลือกชิมกันได้อีกด้วย ผู้สนใจสมัครงานสามารถลงทะเบียนผ่านแพลทฟอร์ม ไทยมีงานทำ หรือ ลงทะเบียนสมัครงานล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ ได้ทาง ซึ่งระบบจะมีการประมวลผลจับคู่งานที่เหมาะสมกับคุณสมบัติของแต่ละบุคคล ช่วยย่นระยะเวลาในการเดินหาสถานประกอบกิจการอีกด้วย อีกทั้งผู้เข้าร่วมงานสามารถพัฒนาทักษะอาชีพ ภายในโซนร่วมใจ สร้างงาน พัฒนาอาชีพ สลับเปลี่ยนหลักสูตรไม่ซ้ำกันตลอดวันงาน อาทิ แนะแนวอาชีพ อบรมพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน สาธิตและฝึกปฏิบัติการประกอบอาชีพอิสระ ธุรกิจเฟรนไชน์ เป็นต้น เอกสารที่ต้องเตรียมเมื่อไป สมัครงาน 💡 1. เรซูเม่ (Resume) คือการสรุปภาพรวมทั้งหมดของ ผู้สมัครงาน ข้อมูลการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน รวมไปถึงทักษะต่างๆ หรืออาจจะใส่เป้าหมายของผู้ สมัครงานในเรซูเม่ เช่นเป้าหมายในการพัฒนาตัวเ อง โดยลักษณะการเขียนเรซูเม่จะ เน้นเขียนสั้นๆ ลิสต์เป็นข้อๆ ไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ นอกจากรายละเอียดต่าง ๆ แล้ว ควรใส่รูปถ่ายลงไปด้วย ควรเลือกรูปถ่ายที่เป็นหน้า ตรง รูปที่เหมือนตั วจริงมากที่สุด ใส่เสื้อสีสุภาพ หากเป็นนักศึกษาจบใหม่ใช้รู ปชุดครุย 2.
4 ทักษะที่มีก็ดี (Hard & Soft Skill) 10% Benefits บางที่เน้นซะเยอะเกิน แต่ก็เข้าใจได้ว่าต้องการดึงผู้สมัคร ซึ่งในการเขียนจริงๆ มันไม่มีรูปแบบตายตัวว่าต้องจัดเรียงแบบไหน ตราบใดที่มีรายละเอียดครบ แต่สิ่งที่ช่วยให้ดึงดูดได้ดีขึ้นที่จะแนะนำคือ 1. การเขียนแบบ Inclusivity คือการเขียนเหมือนผู้สมัครได้เป็นพนักงานแล้ว จะทำให้ผู้สมัครเห็นภาพมากขึ้นและตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าตรงไม่ตรง และจะทำได้ไม่ได้ ใช้คำแทนตัว You will….. ไปเลย เพื่อให้ผู้สมัครเห็นภาพ(อันนี้ผมได้จากการ Training โดยบริษัทที่พัฒนาสายงาน Recruitment โดยเฉพาะเลย) 2. การเขียนเพื่อสร้าง Emotional Connection คือการเขียน Mission ของบริษัทในมุมที่เป็น Passion ขององค์กรจริงๆ เพราะจะดึงให้คนที่มี Passion คล้ายๆกันเข้ามาได้ และพวกเค้าจะมีโอกาสอยู่ได้นานขึ้น เช่น We dedicate our time to help… เป็นต้น === ส่วนประกอบและวิธีเขียนไปแล้ว แต่สิ่งที่ HR ที่ทำหลายอย่างจะพลาดคือ ความชัดเจนของ JD ซึ่งความชัดเจนที่ว่า มาจากไหน ก็คือเราในฐานะ HR รู้จัก Culture บริษัท และสถานการณ์ของทีมนั้นๆแค่ไหนบ้าง หรือพูดง่ายๆคือ เราจะต้องเข้าใจธุรกิจและความเป็นไปของบริษัทและทีมเสมอ HR ควรจะเป็น Business Partner ให้มากที่สุด เพื่องานเราจะไปได้ถูกทาง ไม่เสียเวลามากเกินไปในการทำงาน.
ปัญหาหนึ่งที่ผมเคยเจอ ไม่ว่าจะในฐานะผู้สมัครเอง หรือในฐานะ HR ก็คือ JD ของบริษัทมันไม่ชัดเจน ซ้ำซาก จำเจ ไม่โดดเด่น, บริษัทนี้ทำอะไรกันแน่, สรุปงานต้องทำอะไรบ้าง, เงินเดือนน้อยจัง แต่งานทำไมเยอะจัง, Requirement โหดไปรึเปล่านะ และอื่นๆอีกมากมาย ผู้สมัครแค่อ่านก็ไม่กล้าสมัครละ หรือสมัครไปพอไปสัมภาษณ์จริงๆ อ้าวไม่ตรงซะงั้น(ประสบการณ์ตรง) HR ก็ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรลงใน JD ดี มันก็จะออกมาอย่างที่เราเห็นกันบ่อยเช่น Team Player, Work Well Under Pressure, Good Communication คลาสสิคมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรเขียนนะครับ === แต่จะเขียน JD ยังไงให้มันดีล่ะ? === ก่อนอื่นต้องทบทวนกันหน่อยว่าส่วนประกอบของ JD ที่ควรจะมี(แต่บริษัทบางแห่งไม่มี) คือ 25% แนะนำบริษัทว่าทำอะไร ลูกค้ากลุ่มไหน 5% Culture โดยรวมขององค์กร(สรุปสั้นๆ 1-2 ประโยค) 30% เนื้องานของตำแหน่งนั้นๆ 3. 1 ความรับผิดชอบโดยตรง คือ ใช้เวลาเกินกว่าครึ่งทำงานนี้ 3. 2 ความรับผิดชอบทางอ้อม คือ ต้องลงไปทำงานเหล่านี้บ้าง แต่ไม่มาก 3. 3 สิทธิ์การตัดสินใจ 30% Requirement 4. 1 ประสบการณ์ที่จำเป็นต้องมี 4. 2 ประสบการณ์ที่มีก็ดี 4. 3 ทักษะที่จำเป็นต้องมี (Hard & Soft Skill) 4.
ไม่อยากเป็นแอร์โฮสเตสหรือนักบิน แต่อยากทำงานในสนามบิน? มีอะไรบ้างมารู้จักกัน หากพูดถึงงานในสนามบินว่ามีอะไรบ้าง คนส่วนใหญ่คงจะนึกถึงแอร์โฮสเตส หรือนักบินเป็นส่วนใหญ่ใช่ไหมคะ แต่งานในสนามบินไม่ได้มีแค่นั้นนะคะ บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับสายงานต่างๆ ที่ทำในสนามบินที่นอกเหนือจากแอร์โฮสเตสและนักบินกันค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลยว่างานในสนามบินมีอะไรบ้าง งานเรือสำราญ งานที่น่าสนใจที่สุดในปี 2021! งานในสนามบินมีอะไรบ้าง?