เยส ป 4
การทดลองที่ 2 คอลลอยด์ ตอนที่ 1 สมบัติของคอลลอยด์ - YouTube
จุดประสงค์การเรียนรู้: ผู้เรียนสามารถอธิบายสมบัติของคอลลอยด์ได้ คอลลอยด์ (colloid) ปรากฏการณ์ทินดอลล์ เป็นสมบัติอย่างหนึ่งของคอลลอยด์ ซึ่งเกิดจากการกระเจิงแสง (scattering of light) รูปด้านล่างแสดงสมบัติการกระเจิงแสงที่แตกต่างกันระหว่างคอลลอยด์และสารละลาย เราทราบกันดีว่า แสงที่ตาของคนเราสามารถมองเห็นได้ หรือ visible light จะมีความยาวคลื่น (wavelength) อยู่ในช่วงตั้งแต่ 400 nm - 720 nm ซึ่งมีทั้งหมด 7 สี (ม่วง -แดง) เมื่อฉายแสงสีแดง ซึ่งเป็นแสงที่มีความยาวคลื่นยาวที่สุดในช่วงแสงที่ตาเรามองเห็น ผ่านบีกเกอร์ทั้ง 2 ใบ จะพบว่า 1. ใน บีกเกอร์ที่ 2 สามารถระบุได้ว่าเป็นสารละลาย เพราะอนุภาคของสารละลาย ซึ่งมีขนาดเล็กมาก ประมาณ 5 x 10 -10 m ทำให้แสงสามารถเดินทางผ่านสารละลายได้ตลอด เนื่องจากอนุภาคไม่สามารถที่จะเกิดการกระเจิงแสงได้ ดังนั้น เราจึงไม่เห็นลำแสงในสารละลาย 2.
این «مایملک» آنچه را در برمیگیرد که در جهت منافع حکومت مسیحایی بر زمین از آن بهرهگیری میشود؛ یعنی تابعان زمینی این حکومت و همچنین تمامی امکانات و تسهیلاتی که برای پیشبرد فعالیت موعظه به کار میرود. sakharine ได้กระดาษไแล้ว พวกมันคงไปหา สมบัติ แล้ว طومارها پيش ساخارينه با اون طومارها به سمت گنج ميره พระ ยะโฮวา ตรัส แก่ ซีโอน ว่า "ประตูเมือง ของ เจ้า จะ เปิด อยู่ ร่ํา ไป, ตลอด วัน ตลอด คืน จะ ไม่ มี เวลา ปิด เลย, เพื่อ คน ทั้ง หลาย จะ ได้ นํา ทรัพย์ สมบัติ จาก ประเทศ ต่าง ๆ มา ให้ เจ้า, มี เหล่า กษัตริย์ เป็น ผู้ นํา. " یَهُوَه به صَهْیُون میگوید: «دروازههای تو نیز دائماً باز خواهد بود و شب و روز بسته نخواهد گردید تا دولت امّتها را نزد تو بیاورند و پادشاهان ایشان همراه آورده شوند. » คน หนึ่ง ชื่อ แดเนียล เริ่ม เข้า ร่วม การ ประชุม และ ถึง กับ ทําลาย สมบัติ ส่วน ตัว ทุก อย่าง ที่ เกี่ยว ข้อง กับ ลัทธิ ภูตผี ปิศาจ. یکی از آنان که دانیال نام دارد شروع به رفتن به جلسات کرد و حتی تمام اشیائی را که در خانه به نحوی با ارتباط با ارواح مربوط میشد، نابود کرد. สุภาษิต ข้อ หนึ่ง ใน คัมภีร์ ไบเบิล มี ว่า ดัง นี้: "บ้าน เรือน และ ทรัพย์ สมบัติ เป็น มรดก ตก ทอด มา จาก บรรพบุรุษ; แต่ ภรรยา ที่ เฉลียวฉลาด มา จาก พระ ยะโฮวา.
การกลั่น ใช้แยกของเหลวออกจากของแข็งเช่นแยกน้ำออกจากน้ำตาลหรือใช้แยกของเหลวออกจากของเหลว 2. 1 ถ้าของเหลวทั้งสองมีจุดเดือดต่างกันมากๆ ใช้วิธีการกลั่นธรรมดา เช่นการแยกน้ำออกจาก เพนเทน (ซึ่งน้ำมีจุดเดือดที่ $100^\circ$ C ส่วนเพนเทน มีจุดเดือดที่ $36^\circ$ C ดังนั้นเพนเทนจะกลั่นตัวออกมาก่อน) 2. 2 ถ้าของเหลวทั้งสองมีจุดเดือดใกล้เคียงกัน ใช้วิธีการกลั่นลำดับส่วน เช่นการแยกน้ำออกจากแอลกอฮอล์ (จุดเดือดที่ $70^\circ$ C) 2. 3 ถ้าต้องการแยกสารระเหย โดยสารระเหยที่ต้องการนั้นถูกไอน้ำพาออกมาได้และไม่ละลายน้ำจะใช้ วิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ เช่นการแยกกลิ่นดอกไม้ออกมาจากดอกไม้ 3. การสกัดด้วยตัวทำละลาย เป็นวิธีใช้แยกของผสมโดยใช้ตัวทำละลายที่เหมาะสมละลายสารที่หนึ่งได้ แต่ไม่ละลายสารที่สอง เข้าไปทำการละลายสารที่หนึ่งออกมา จากนั้นเราอาจแยกตัวทำละลายออกจากสารที่หนึ่ง ได้ โดยใช้วิธีการกลั่นกรองหรือใช้กรวยแยกก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานะของสารเช่น การใช้น้ำเข้าไปละลายเกลือออกจากดินทรายเป็นต้น 4. Liquefaction เป็นวิธีใช้แยกก๊าซผสมออกจากกันโดยนำก๊าซผสมทั้งหมดไปทำให้เย็นจัดกลายเป็นของเหลวแล้วจึงนำไปกลั่นแยก 5. การตกผลึก เป็นวิธีแยกของแข็งที่รวมเป็นเนื้อเดียวกันกับของเหลว โดยการทำให้สารละลายของสารที่ต้องการอิ่มตัวที่อุณหภูมิสูง แล้วลดอนุภูมิลงก็จะได้ผลึกของสารแยกออกมาเช่น การตกผลึกของเกลือจากน้ำปลา 6.