เยส ป 4
มหาสติปัฏฐานสูตร เล่ม ๑๔ หน้า ๒๐๙
ห้ามใจตัวเองไม่ได้ 2.
แต่ไม่ใช่เรื่องของปุถุชนคนหยาบทั่วไปที่จะทำได้ เมื่อการจะรู้เข้าใจใน ธรรมะ ได้นั้น จักต้องใช้ สติ เป็นเครื่องกำหนด สัมปชัญญะ เป็นเครื่องรู้ เพื่อนำไปสู่ วิริยะ อันเป็นเครื่องปฏิบัติชอบ การสร้างเหตุแห่งปัญหาจึงไม่เคยจบสิ้น จึงได้เห็นการสืบเนื่องของปัญหา ให้สร้างผลที่นำไปสู่เหตุแห่งปัญหาที่ไม่รู้จบสิ้นปัญหาตามกฎลูกโซ่ ด้วยเพราะความไร้สติปัญญา ในการเข้าไปเพื่อดับสิ้นปัญหานั้นๆ ด้วยความเข้าใจในความเป็น ธรรม ในธรรมชาติ!! การแก้ไขปัญหาอย่างผิดธรรม เพราะขาดสติ จึงเกิดขึ้นในมวลมนุษยชาติอยู่เสมอ ทั้งนี้ เพราะความไม่เข้าใจธรรม ในธรรมชาติเป็นสำคัญที่สุด ปัญหาหรือความทุกข์จึงไม่เคยจบสิ้นจากวงจรชีวิตของมนุษย์ มิหนำซ้ำยังขยายผลเหตุปัญหาจากปัจเจกชนไปสู่ปัญหาของภาคสังคม ด้วยความเป็นมวลรวมของกรรม อันเป็นไปตาม ธรรม ในธรรมชาติ!! ดังการแก้ไขปัญหาโรคไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วทุกกลุ่มเผ่าพันธุ์ของสัตว์มนุษย์อย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ซึ่งพอสรุปได้ 2 แนววิธี ได้แก่ 1. แก้ปัญหา ตรงเหตุแห่งปัญหา จบปัญหา เพราะเข้าใจ ธรรม ในธรรมชาติ!! 2. แก้ปัญหา ไม่ตรงเหตุแห่งปัญหา นำไปสู่การขยายผลแห่งปัญหา จนไม่จบสิ้นปัญหา เพราะไม่เข้าใจธรรม ในธรรมชาติ!!
สติ ความระลึกได้ก่อนที่จะทำ จะพูด จะคิด ในสิ่งต่างๆ และ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว ในขณะที่ทำ พูด คิดอยู่ โดยไม่เผลอใจ หรือขาดสติ 2. ปธาน คือความเพียร อันเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิต ได้แก่ 1) สังวรปธาน ความเพียรในการระวังมิให้ความชั่วเกิดกับตน หรือป้องมิให้ตนเองกระทำในสิ่งที่ไม่ดี 2) ปหานปธาน ความเพียรในการละทิ้งความไม่ดีที่เคยเกิดขึ้นกับตนให้หมดไป 3) ภาวนาปธาน ความเพียรในการสร้างสรรค์ความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นกับตน หรือเพียรในการสิ่งดีๆ ที่ยังไม่ได้สร้าง 4) อนุรักขนาปธาน เพียรในการรักษาความดี ที่เราได้ทำไว้แล้วมิให้หายไป คือรักษาสิ่งดีๆ ที่ทำไว้แล้วให้คงอยู่เหมือนเดิม 3. หิริ โอตตัปปะ หิริ คือความละอายใจในการจะทำความชั่ว และโอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลของความชั่ว เมื่อบุคคลมีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป แล้ว ก็จะทำให้ผู้นั้นดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาทเผลอตัวทำความชั่วได้ 1. มีสติระลึก ก่อนจะทำ พูด คิด ในทุกสิ่ง หากสิ่งทำไปแล้วเป็นทุกข์ เป็นโทษ เดือดร้อน ก็ไม่ทำ สิ่งใดที่ทำแล้ว ก่อประโยชน์ ก่อสุข ก็พึงทำในสิ่งนั้น 2. ตระหนักในผลของการกระทำที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง และผู้อื่นรอบข้าง 3.
จงละกายทุจริต จงเจริญกายสุจริต และอย่าประมาทในการละกายทุจริต และการเจริญกายสุจริตนั้น ๒. จงละวจีทุจริต จงเจริญวจีสุจริต และอย่าประมาทในการละวจีทุจริต และการเจริญวจีสุจริตนั้น ๓. จงละมโนทุจริต จงเจริญมโนสุจริต และอย่าประมาทในการละมโนทุจริต และการเจริญมโนสุจริตนั้น ๔. จงละมิจฉาทิฏฐิ จงเจริญสัมมาทิฏฐิ และอย่าประมาทในการละมิจฉาทิฏฐิ และการเจริญสัมมาทิฏฐินั้น ในการฝึกตนให้เป็นผู้ไม่ประมาทนี้ การระวังใจถือว่าสำคัญที่สุด เพราะใจเป็นผู้สั่งกายและ วาจา ซึ่งการทำใจให้เป็นผู้ไม่ประมาทนั้นในพระไตรปิฎกอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ หน้า ๑๕๕ กล่าวไว้ว่ามี ๔ ประการ คือ ๑. มีสติเครื่องรักษาใจโดยสมควรแก่ตนว่า จิตของเราอย่ากำหนัดในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ๒. จิตของเราอย่าขัดเคืองในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง ๓. จิตของเราอย่าหลงในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง ๔.
ชำระพฤติกรรมทุกอย่าง ทั้งทางกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ เพราะมีสติ จึงไม่เผลอไปเกลือกกลั้วบาปอกุศลกรรม ทำให้พฤติกรรมต่างๆ เป็นไปด้วยปัญญา หรือเหตุผลบริสุทธิ์ การฝึกสติให้เป็นคนไม่ประมาท ๑. มีสติระลึกถึง การละเว้นทุจริตทางกาย วาจา ใจ อยู่เนืองๆ มิได้ขาด จะไปทำชั่วทำบาปอะไรเข้า ก็มีสติระลึกได้ทันที ว่าสิ่งที่กำลังจะทำนั้นเป็นบาปหรือไม่ ถ้าเป็นบาปก็ไม่ยอมทำโดยเด็ดขาด ๒. มีสติระลึกถึง การประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ อยู่เนืองๆ มิได้ขาด จะทำอะไรก็มีสติระลึกได้เสมอ ว่าสิ่งที่กำลังจะทำนั้นเป็นบุญเป็นกุศลหรือไม่ ถ้าเป็นกุศลจึงจะทำ ๓. มีสติระลึกถึง ความทุกข์ในอบายภูมิอยู่เนืองๆ มิได้ขาด มีสติระลึกได้เสมอว่า การเกิดในอบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน นั้นมีทุกข์มากเพียงไร เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว ก็ไม่ยอมทำชั่วเลย เพราะเกรงว่าจะต้องไปเกิดในอบายภูมิเช่นนั้น ๔. มีสติระลึกถึง ความทุกข์อันเกิดจากการเวียนว่ายตายเกิด ของสัตว์ในวัฏสงสารอยู่เนืองๆ มิได้ขาด มีสติระลึกได้ว่า ถ้าเรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ ก็ต้องมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป จึงหาโอกาสปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ เพื่อให้เข้าพระนิพพานให้ได้เร็วที่สุด จะได้หมดทุกข์ เมื่อระลึกเช่นนี้บ่อยๆ ย่อมไม่หลงในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง ไม่กำหนัดในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่ขัดเคืองในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง ได้ในที่สุด ๕.